(แปลไทย) บทสัมภาษณ์ “จีชางอุค” จากหนังสือ Allure ฉบับเดือนพฤษภาคม 2014
ได้ยินว่าเมื่อเร็วๆนี้คุณถ่ายละครค่ำวันค่ำคืนเลยเหรอคะ?”
“ใช่ครับอันที่จริงแล้ว มันเป็นวันที่ผมย้ายบ้าน จากบ้านผมก็ตรงมานี่เลยครับ”
“เราเคยเห็นคุณสั่ง“จาจังเมียน” (หมี่ดำ) มาทานด้วย คุณอยู่คนเดียวเหรอคะ”
“(หัวเราะ)ตั้งแต่
ผมย้ายบ้าน ผมมักจะสั่งหมี่ดำมาทาน ผมอยู่กับแม่ครับ
ถึงแม้ว่าเราจะเคยอยู่บ้านหลังเดียวกันแต่ผมก็ไม่ค่อยจะได้เจอหน้าท่านซัก
เท่าไหร่”
“นานมากเลยนะ เราเจอคุณล่าสุดเมื่อตอนที่คุณตัดผมสั้นดูสดใสมากเลยนะคะ”
“เมื่อ
วานนี้ผมกับ“พี่จีวอน” เพิ่งจะไปถ่ายทีเซอร์เพื่อโปรโมทโฆษณาตัวใหม่
(แน่นอนว่าต้องเป็น Northscape)
เพราะเราสองคนมักจะเจอกันในชุดราชวงศ์ฮั่นก็เลยรู้สึกประหม่านิหน่อย
ผมอยากจะไว้ผมยาวอยู่เหมือนกันนะแต่เพราะเป็นผู้ชายก็เลยทำแบบนั้นไม่ได้
ถ้าลองตัดสินใจจะตัดผมล่ะก็ผมจะตัดให้สั้นจริงๆ
เมื่อครั้งที่ผมเล่นละครพีเรียดเรื่อง Warrior Baek Dong-soo (WBDS)
ตอนนั้นผมก็ไว้ยาวนะ แต่ต้องรวบผมขึ้นไปก็ยิ่งทำให้สะดวกสบายมากยิ่งขึ้น”
“แต่ไม่ว่าคุณจะดูแบบไหนแบบจักรพรรดิ์ยังไงก็ต้องดีกว่า”นักรบ” นะคะ”
“แน่
นอนที่สุดครับผมไม่จำเป็นจะต้องรู้เรื่องศิลปะการต่อสู้ ในเรื่องนั้นมัน
เหนื่อยมากเลยนะครับผมไม่คิดว่าจะถ่ายละครแนวนั้นอีกในอนาคตอันใกล้นี้ครับ”
“ละครเรื่อง Empress Ki (EK) มีหลายฉากที่คุณจะต้องรับบทหนัก ยิ่งดูเรื่องนี้มากเท่าไหร่ก็ยิ่งเห็นบทที่ซับซ้อนของตัวละครที่ชื่อ “ทา-ฮวัน”
“ทา-ฮวัน”มี
หลากหลายอารมณ์มากครับ บางครั้งก็แทบจะหมดแรง ยิ่งช่วงนี้เขา
(ทา-ฮวัน)ดูจะงี่เง่าและกลายเป็นคนอ่อนไหวมากๆ
ถึงแม้สุดท้ายเขาจะกลายเป็นคนแข็งแกร่งขึ้นแต่ตัวตนจริงๆของ “ทา-ฮวัน”
แล้วเขาอ่อนแอ และ โดดเดี่ยวมากๆ”
“ฉากที่คุณ เล่นมีหลายหลายอารมณ์ที่คุณจะต้องแสดงออกมาซึ่งนับว่าเป็นโอกาสที่ทำให้คน อี่นยอมรับว่าคุณเป็นนักแสดงจริงๆ ทันทีที่การแสดงเสร็จสิ้นลงคุณมีวิธีดึงตัวเองออกมาได้ยังไงคะ”
“ผมสามารถสลับกลับมาเป็นตัวเองได้ครับยังมีนักแสดงอีกหลายคนที่ไม่สามารถทำได้ทันที”
“ในบรรดาละครย้อนยุคที่ออกในช่วงนี้ ชุดที่ “ทา-ฮวัน” สวมใส่มีหลายหลายมากเลยและดูเหมือนจะมีคนตั้งสมญานามด้วยนะว่า“จักรพรรดิ์ ผู้นำทางด้านแฟชั่น”
“ทา-ฮวัน”เป็น
จักรพรรดิ์ในท้ายที่สุด
ดังนั้นเสื้อผ้าหน้าผมจึงต้องสง่าและงดงามจริงๆซึ่งสีส่วนใหญ่มักจะเป็นสี
ทองและม่วง
การได้เปลี่ยนเสื่อผ้าหลายๆชุดถือส่วนหนึ่งของประสบการณ์ซึ่งชุดแต่ละชุด
หนักมากจริงๆ ผมมีโอกาสได้สวมใส่แล้วตอนนี้
แม้กระทั่งเมื่อผมต้องถ่ายเป็นเวลานานๆพร้อมทั้งสวมแบบเต็มยศมันหนักจนบาง
ครั้งไหล่ของผมเคล็ดไปเลยก็มีนะ”
“ละครยาว 51 ตอนก็ใกล้จะจบแล้วยังเหลืออีกตั้ง 6 ตอน คนดูต่างก็ลุ้นว่าตอนจบจะเป็นยังไงบ้าง
“ละคร
เรื่องนี้ ถือว่าเป็นละครที่ค่อนข้างจะยาวมาก
เราเริ่มถ่ายตั้งแต่ฤดูใบไม้ร่วงคราวที่แล้วฤดูหนาวผ่านไป และ
ตอนนี้ก็เข้าหน้าร้อน
ผมเองก็ยังไม่รู้เลยว่าตอนจบจะเป็นยังไงผมไม่คิดว่าคนเขียนบทจะเขียนตอนจบ
ไว้แล้วด้วย
เมื่อไม่นานมานี้พวกเขายังถามผมเลยว่าละครเรื่องนี้ควรจะจบแบบไหนดี”
“ถ้างั้นคนเขียนบทเขาก็คงอยากจะรู้ว่า “ทา-ฮวัน” อยากให้จบแบบไหน แล้วคุณตอบว่ายังไงคะ”
“แฮ่.ผมไม่ได้ออกความเห็นอะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้ครับ”
(แหม..อยากจะฝากกระโดดถีบคนเขียนบทตอนที่ 50–51 จริงๆ เชื่อเลย — ความเห็นส่วนตัวของคนแปล คริคริ)
“ทำไมละคะ”
“ผม
เป็นคนที่ชอบเล่นตามบทเพราะว่าบทละครเขียนโดยคนเขียนบท
ผมมีหน้าที่แค่รอบทเท่านั้นแล้วก็แค่ลุ้นว่าตอนต่อไปจะเป็นยังไงบ้าง
จะต้องเล่นยังไง พอผมรับบทมาและก็วางแผนจะอ่านทันทีเมื่อกลับถึงบ้านครับ”
“นี่เป็นครั้งแรกที่คุณได้เล่นละครคู่กับนักแสดงสาวคนเก่ง“ฮาจีวอน” ที่รับบทเป็น “ซึง-หยัง” คุณรู้สึกยังไงบ้างคะ”
“พี่จีวอนเป็นคนตรงมากๆครับการทำงานแข่งกับเวลามันเหนื่อยจริงๆ
แต่เธอก็ใส่ใจกับการนอน ซึ่งมันจะส่งผลดีต่อการแสดงของเธอครับดังนั้น
ไม่ว่าเธอจะเหนื่อยแค่ไหน
เราก็มักจะเห็นรอยยิ้มบนใบหน้าของเธอซึ่งผมได้เรียนรู้อะไรหลายอย่างจากเธอ
และเธอก็ยังเป็นรุ่นพี่มหาวิทยาลัยที่เดียวกับผมด้วยนะ”
“เมื่อพูดถึง “ซึงหยัง”ดูเหมือนว่าคุณสองคนจะมีนิสัยคล้ายๆกันที่แท้พวกคุณก็เป็นศิษย์เก่ามหาลัยเดียวกันนี่เอง”
“เรา
มาสนิทกันก็ตอนที่เราเล่นละครเรื่องนี้ด้วยกันครับเรื่องนี้เป็นละครที่บ่อ
เกิดของมิตรภาพระหว่างเพื่อนนักแสดงด้วยกันนะเพราะผมกลายมาเป็นเพื่อนสนิท
ของ “โจเจยุน” คนที่เล่นเป็น “กอลทา”
ซึ่งเราสองคนเข้ากันได้ดียามที่ต้องเข้าฉากด้วยกันเราต่างรับส่งมุกกันได้
ทันทีครับ”
“เมื่อพูดถึง“ซึงหยัง” ดูเหมือนว่าคุณสองคนจะมีนิสัยคล้ายๆกันที่แท้พวกคุณก็เป็นศิษย์เก่ามหาลัยเดียวกันนี่เอง
“เรามาสนิทกันก็ตอนที่เราเล่นละครเรื่องนี้ด้วยกันครับเรื่องนี้เป็นละครที่บ่อ
เกิดของมิตรภาพระหว่างเพื่อนนักแสดงด้วยกันนะเพราะผมกลายมาเป็นเพื่อนสนิท
ของ “โจเจยุน” คนที่เล่นเป็น
“กอลทา”ซึ่งเราสองคนเข้ากันได้ดียามที่ต้องเข้าฉากด้วยกันเราต่างรับส่งมุก
กันได้ทันทีครับ”
“ถ้าคุณกำลังดูละครเรื่องEK อยู่ที่บ้านแล้วจู่ๆก็เกิดสถานะการณ์ตัวอย่างเช่น คุณพ่อของคุณพูดว่า “นี่มัน ดอง-ซู จากเรื่องWBDS นี่นา” หรือไม่ก็ คุณแม่พูดขึ้นว่า “นี่มัน “เจ้าดง-เฮ” จากเรื่อง Smile Donghae นี่นา” จะเกิดอะไรขึ้น ตัวละครทั้งสองเรื่องค่อนข้างจะได้รับความนิยมคุณรู้สึกยังไงที่มีคนเรียกชื่อตัวละครแทนชื่อของคุณ
“มี
คนเรื่องชื่อตัวละครแทนชื่อผมเยอะแยะเลยครับโดยเฉพาะคนที่อายุมากกว่าผม
เพราะว่าพวกเขาไม่ค่อยจะดูพวกรายการโชว์สักเท่าไหร่ดังนั้น
เมื่อละครเรื่องนั้นออกอากาศ มีคนไม่มากเท่าไหร่เรียกชื่อจริงๆของผม
แต่ไม่ว่าจะยังไงเพราะว่าผมเล่นละครอยู่หลายเรื่อง
ผมยังเคยเรียกตัวละครที่ผมเล่นเลยก็ถือว่าเป็นเรื่องน่ายินดีและน่าสนใจดีนะ
ครับ
“ละครเรื่อง Empress Ki” ให้อะไรกับนักแสดงที่ชื่อ “จีชางอุค” บ้างคะ
“ละคร
เรื่องนี้ให้ความทรงจำที่ดีมากๆเลยครับ เพราะว่า บทของผมเปลี่ยนไปเรื่อยๆ
เมื่อก่อน “ทา-ฮวัน”เป็นคนขี้เล่นและอ่อนแอ แถมยังขี้เกียจด้วย
พอผมได้มาเห็น “ทา-ฮวัน” ในตอนล่าสุดแล้วผมคิดว่า
“อ๊า..”ละครเรื่องนี้ให้อะไรได้มากกว่าที่เราคิดซะอีก น่าภูมิใจจัง”
“เมื่อละครเรื่องนี้จบแล้วคุณคิดว่าจะพักสักระยะหนึ่ง ก่อนแล้วค่อยไปถ่ายหนัง คุณชอบที่จะทำแบบนี้หรือเปล่าคะ”
“ผม
อยากจะมีเวลาบ้างแม้แต่ช่วงเวลาที่เสร็จจากการถ่ายละคร
ผมต้องรอบทของตอนต่อไป จากนั้นก็อ่าน และทำความเข้าใจก่อน
แล้วจึงค่อยไปเข้าฉาก
เท่านี้ก็แทบจะไม่มีเวลาแล้วมันคงจะดีถ้าผมได้ไปเที่ยวบ้าง
ดังนั้นผมคิดว่าควรจะพักบ้างก็ดีนะครับ”
“ทำไมถึงชอบแบบนั้นละคะ”
“นัก
แสดงส่วนใหญ่มักอยากจะมีอิสระบ้างอะไรบ้างทุกๆคนก็อยากจะมีเวลาพักเป็นของ
ตัวเองทันทีที่งานๆนั้นเสร็จสิ้นลงแต่ไม่ว่าจะยังไง
ถ้ายังไม่มีโปรเจคหรืองานตัวใหม่ออกมา
พวกเขาก็คงอยากจะพักอย่างนิ่งๆและจริงจังดังนั้น
การพักผ่อนคือการรอคอยงานใหม่ที่ดีที่สุดครับ
““รู้สึกว่าคุณเป็นมีชีวิตที่เรียบง่ายนะคะ”
(หัวเราะ)ผมชอบทำชีวิตที่สะดวกสบายครับ (ไม่ยุ่งยากดีเนอะ)
“มีนักแสดงไม่มากเท่าไหร่นะที่เล่นได้ทั้งละคร และ ภาพยนตร์ คุณชอบแบบไหนมากกว่าคะ”
“เล่น
อะไรก็ล้วนแล้วแต่น่าสนใจทั้งนั้นล่ะครับบบแต่ในความเป็นจริง
ตารางการถ่ายละครค่อนข้างจะแน่นขนัดเพราะว่าต้องออกอากาศทุกอาทิตย์
ซึ่งนั่นก็ยิ่งทำให้น่าสนใจมากยิ่งขึ้นครับ”
“คุณดูละครของตัวเองบ่อยหรือเปล่าคะแต่ดาราส่วนใหญ่มักจะบอกว่าเขาไม่ค่อยดูละครที่ตัวเองเล่นสักเท่าไหร่”
“บางครั้งก็ดูบางครั้งก็ไม่ดูครับ (ดูบ้างไม่ดูบ้าง ว่างั้น..พ่อคุ๊น)
“ดูแล้วรู้สึกยังไงบ้างคะ”
“ไม่ค่อยพอใจซักเท่าไหร่(หัวเราะอีกแล้วเทอ)
“ทำไมละคะ”
“ดารา
บางคนอาจจะทำเหมือนผมก็ได้นะเพราะว่าผมเป็นหนึ่งในบรรดาที่ทำอย่างนั้น
แน่นอน ผมมันจะไม่ค่อยพอใจกับการแสดง(ผลงาน) ของตัวเองครับ”
“มีอะไรที่คุณคิดว่ามันเป็นปัญหา? หรือคิดว่า “เอ๊ะ..เราน่าจะทำได้ดีกว่านี้นะ”บ้างคะ?
“ก็
ทั้ง 2อย่างครับ
ผมเคยคิดว่ายังมีบางจุดที่ควรจะต้องปรับปรุงให้ดีขึ้นผมมักจะบอกกับตัวเอง
เสมอว่า “เราทำได้ดีกว่านี้นะ”
หลังจากที่การถ่ายทำเสร็จสิ้นลงครั้นพอถ่ายฉากนั้นเสร็จและผมกำลังกินข้าว
จู่ๆผมก็คิดถึงเรื่องนี้อีกดูเหมือนว่าผมไม่รู้จักพอเลยเนอะ
พอวันหลังได้มาดูฉากนี้อีก ก็อยากจะแก้แล้วก็ถ่ายใหม่”
“ฉากที่คุณคิดว่าอยากที่สุดคือฉากไหนคะ”
“แทบ
จะทุกฉากเลยก็ว่าได้อย่างเช่นตอนล่าสุด ซึ่งเป็นตอนที่
“ทา-ฮวัน”ถูกเนรเทศไปโครยอซึ่งทำให้ผมประทับใจมาก ช่วงเวลานั้น “ทา-ฮวัน”
ทั้งอ่อนแอ และขี้ขลาด”
เพราะว่ามีหลายฉากตลกมากเลยครับผมมักจะมีความสุขเมื่อการถ่ายทำเสร็จสิ้นลง
บางครั้งก็ไม่ได้ว่าจะสนุกไปซะทุกครั้งถึงแม้ผมจะได้ทำในสิ่งที่ผมชอบก็ตาม
แต่บางทีก็เหนื่อยมากเลยและอยากจะกลับบ้านเร็วๆจัง ยังไงก็ตาม
ผมก็รู้สึกว่าผมเพลิดเพลินกับการแสดงอีกทั้งยังได้รับความสุขที่มีค่ามากเลยด้วย
“อยากจะลองเล่นแนวร่วมสมัยบ้างหรือเปล่า”
“แน่
นอนครับ เมื่อผมได้เล่นหนังย้อนยุค(โบราณ)
ผมก็อยากจะเล่นแนวร่วมสมัยบ้างเมื่อผมได้เล่นละครแนวร่วมสมัย
ผมก็อยากจะกลับไปเล่นละครย้อนยุคครับ (งงไหมเนี่ย)
“คุณมีโอกาสได้เล่นละครย้อนยุค และ แนวร่วมสมัยเท่าๆกัน มีอะไรที่มัดใจที่ทำให้คุณย้อนยุคคะ”
“ความ
สัมพันธ์ของตัวละครแต่ละตัวค่อนข้างจะยุ่งเหยิงแนวย้อนยุคก็ยังมีแนวแฟนตาซี
(จินตนาการ) รวมอยู่ด้วยยกตัวอย่างถ้าลองเป็นแนวร่วมสมัยนะ
ถ้าคุณฆ่าใครสักคนมันต้องเป็นเรื่องใหญ่แน่นอนเลยใช่มั๊ย แต่ถ้าแนวย้อนยุค
ถ้าคน 2
คนต่อสู้กันและมีคนสั่งให้คุณฆ่าฝ่ายตรงข้ามคุณไม่สามารถปฏิเสธได้เลย
บางคนสั่งให้คุณองค์ประกอบเหล่านี้ดูน่าสนใจไม่น้อยเลยนะครับแล้วเรายัง
ต้องแสดงให้เห็นเรื่องราวสมัยก่อนให้คนดูได้รับรู้
แต่ก็ต้องมีข้อจำกัดและเข้าใจตัวละครแต่ละตัวด้วยยกตัวอย่างละครเรื่อง EK
ผมแสดงไปพร้อมกับตั้งคำถามไปว่า
“จักรพรรดิ์ทุกพระองค์จะต้องมีเกียรติ์สง่างามและเสียสละด้วยหรือ? ผมไม่คิด
ว่าจะต้องเป็นอย่างนั้นเสมอไป และนั่นคือสิ่งที่ผมถ่ายทอดออกมาเป็นตัวละคร
“ทา-ฮวัน”
“ละครที่คุณแสดง มีเรตติ้งที่สูงมาก มันมีผลข้างเคียงบ้างหรือเปล่าคะ”
“ถึง
แม้จะคิดว่าเรทติ้งไม่ค่อยมีผลอะไรนัก
แต่สำหรับทีมนักแสดงก็อาจมีบ้างไม่ว่าจะเป็นคำวิจารณ์ หรือ ว่า คำชม
ซึ่งมีคนดูละครเรื่องของเรามากมาย
มันจะคอยทำหน้าที่เหมือนเป็นแรงผลักดันหรือแรงกระตุ้นให้เราตั้งใจทำงานมาก
ขึ้นตอนที่ผมเล่นละครทางช่องเคเบิล บาทเรทติ้งก็แค่ 1 % เอง
ถ้าเราลองใช้เป็นหลักเกณฑ์ล่ะก็ละครเรื่อง EK
ถือว่ามีเรตติ้งที่สูงมากเลยนะครับ
มีช่วงหนึ่งที่ผมหายหน้าไปนานจนเพื่อนต้องถามว่า ช่วงนี้ผมทำอะไรอยู่”
(งานยุ่งรัดตัวชิมิ)
“เพราะว่าคนดูมักจะจำได้แต่ผลงานที่ดีๆ”
“ไม่
ว่าผมจะทำอะไรก็ตาม
ผมมักคิดว่าหากไม่มีใครรู้จักผมหากไม่มีใครรู้ว่าผมเป็นใคร นี่เราแสดงไป
เพื่อใคร หรือเรามีหน้าที่แค่แสดงไปตามบทเท่านั้น หรือว่าเพื่อเงินกันแน่?
ผมคิดไปถึงกระทั่งว่าถ้าผมเล่นบนเวทีแล้วไม่มีคนดูเลยด้วย(จึงต้องทุ่มเทกับ
ผลงานให้เต็มที่ เข้าใจว่าอย่างนั้นนะ)
“เป็นนักแสดง ก็ต้องมีคนดูใช่มั๊ย”
“ใช่
ครับ เพราะเป็นละคร , ภาพยนต์ หรือว่าละครเวทีก็ถือว่าเป็นการค้า
อย่างไงก็ตามนักแสดงไม่ได้แสดงเพียงเพราะต้องการเงินเท่านั้น
พวกเขาก็อยากได้คำชมด้วย ถ้าหากว่าทำงานแล้วตั้งใจกับงานนั้นๆ
ก็จะสับสนได้นะว่าตกลงทำงานเพื่ออะไรกันแน่ถ้าหากเป็นอยางนั้นแล้ว
ผมว่าแค่ไปเรียนการแสดงก็คงพอนะ”
“ถึงแม้ว่าคุณจะเข้าวงการมาเพียงไม่นานแต่ฉันก็ยังรู้สึกว่าดูเป็นผู้ชายใสๆอยู่เลยนะ (flower boy)
“ก็ไม่ได้เป็นอย่างนั้นทั้งหมดหรอกครับ ผมก็เป็นของผมแบบนี้แหละ(หัวเราะ) อีกอย่างก็ไม่ได้ส่งผลกระทบกับความแสดงนี่นา”
“เคยหงุดหงิดกับตัวเองบ้างมั๊ยคะ”
“เมื่อตอนที่
อยู่เรียนอยู่มหาวิทยาลัย ผมได้เล่นหนังเรื่องแรก, ผ่านขั้นตอนการคัดตัว
และแสดงให้ทุกคนได้เห็นความสามารถในการแสดงละครเวทีของผมตอนนั้น
ผมรู้ตัวว่า ทำได้ไม่ดีนัก และตระหนักได้ว่า
การเรียนมันเป็นเรื่องสำคัญมากจริงๆนั่นจึงทำให้ผมกลับไปเรียน
ถ้ายังอยากแสดงออกมาให้ดีดี ก็ควรจะไปเรียนการแสดง”
“ถ้างั้นตอนนี้ก็ดีขึ้นแล้วสิคะ”
“สิ่ง
ที่ผมจะต้องฟันฝ่าและคิดถึงให้มากๆ
ผมมักจะคิดเสมอว่าควรจะแสดงอะไรใหม่ๆแต่ก็ต้องสนุกไปกับมันด้วยนะ
ไม่ใช่เฉพาะกับตัวเองเท่านั้นแต่กับนักแสดงที่ร่วมเล่นกับเราก็ต้องสนุกด้วย
โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนที่เล่นคู่กับเราครับ”
“ตอนนี้คุณอายุ 28 ปีแล้วคุณอยู่ในช่วงเวลาที่คุณสามารถลองเปลี่ยนบทบาทได้นะคะ”
ถึง
แม้จะช่วงนี้จะเป็นช่วงทีดีสำหรับการแสดงแต่อย่าลืมนะครับว่าผมจะต้องเข้าไป
รับใช้ชาติด้วย (หัวเราะ แต่คนแปลเศร้าจัง)
ถึงแม้ว่าจะยังไม่ได้คิดเอาไว้ว่าผมจะต้องเป็นทหารนาน 1–2
ปีผมไม่สนใจหรอกครับ แต่ว่าคนที่อยู่รอบข้างผมนี่สิ มักจะถามอยู่เสมอ
“จะทำยังไง ถ้าจะต้องเข้าไปเข้ากองทัพเพื่อรับใช้ชาติ)
“ถ้า คุณต้องไปเข้ากองทัพแล้ว คุณคงไม่สามารถได้ (แสดง) ทำในสิ่งที่คุณรักแล้วอย่างนี้ คุณจะยอมถ่ายหนังสั้นๆ เพื่อช่วยประชาสัมพันธ์งานของกองทัพมั๊ยคะ”
“ผมยังไม่
ได้คิดถึงเรื่องนั้นเลย
ผมอยากจะลองใช้ชีวิตทหารจริงๆซักครั้งปัจจุบันผมใช้ชีวิตของการเป็นนักแสดง
ดังนั้นถ้าผมใช้ชีวิตนักแสดงในขณะที่เป็นทหารผมว่ามันไม่น่าสนใจเลยนะ
เมื่อถึงเวลาที่เป็นทหารแล้ว
ผมก็อยากจะใช้ชีวิตให้สนุกสุดเหวี่ยงได้อยู่เพื่อนหน้าใหม่ๆ และแน่นอน
ถ้าพวกเขาอายุน้อยกว่าผมและไฮเปอร์กว่าผมคงรู้สึกอึดอัดแย่”
“มันก็น่าจะเหมือนกับในมหาวิทยาลัยไม่ใช่เหรอ”
“ทุก
คนก็พูดอย่างนั้นเหมือนกัน รู่นพี่ของผมบอกว่า
ถ้าตอนนี้ทำงานหนักมากก็จะรู้สึกว่าได้พักมากขึ้นเมื่อตอนที่ได้ไปอยู่กอง
ทัพ
ถ้าผู้ชายที่ยังหนุ่มยังแน่นก็จะกลัวการรับใช้ชาติมากขนาดไม่อยากจะเก็บไป
ฝันซะด้วยซ้ำ
แต่ถ้าอายุมากขึ้นก็จะเป็นผู้ใหญ่ที่สามารถรับมือกับปัญหาได้โดยไม่มีปัญหา”
“หวังว่าเราคงจะได้เจอกันอีกครั้งก่อนที่คุณจะไปเป็นทหารนะคะ”
“แน่นอนครับ บางทีผมอาจจะได้เป็นตากล้องประจำกองทัพก็ได้นะครับ(หัวเราะ)
“อนาคตวันข้างหน้า คุณอยากทำอะไรอีกคะ”
“ผม
ก็อยากรู้เหมือนกันว่า อนาคตจะเป็นยังไงบ้าง
จะเป็นนักแสดงแบบที่อยากจะเป็นหรือเปล่าน้อพอถึงวัยกลางคนผมจะเป็นยังไงบ้าง
นะ, และใครที่ผมจะแต่งงานด้วยนะผมชักสนใจอนาคตของผมจริงๆเข้าแล้วสิ .
.คนจะเปลี่ยนตามไปกับความยากลำบาก และ ความสำเร็จที่พวกเขาได้เผชิญครับ”
“ถ้าเป็นไปได้ คุณอยากจะเปลี่ยนอะไรมากที่สุดคะ”
“ผม
อยากมีชีวิตอย่างธรรมดาเรียบง่ายครับ คือในสายตาของคนทั่วไปก็จะมองว่า
“นักแสดงคือคนที่ไม่ธรรมดาเขาก็คงอยากจะมีชีวิตเหมือนคนทั่วไปเช่นกัน
ถึงแม้ว่าจะอยู่ท่ามกลางสายตาของผู้คนผมก็ไม่ใช่พวกชอบอำพรางตัว
ต้องคอยสวมเสื้ออำพรางรอดพ้นจากพวกปาปารัสซี่
ชีวิตของผู้จัดการผม(เพื่อนสมัยเรียนมัธยม)
ก็ไม่ค่อยมาเกาะติดผมซักเท่าไหร่ บางครั้งผมก็อยากจะไปดื่มกินบ้าง
ไปพบปะเพื่อนฝูงบาง และบางครั้งก็ไปผับบ้าง อะไรบ้างเหมือนอย่างเมื่อก่อน
ผมไปที่ศูนย์ฝึกสอน “Dankook
และก็นอนที่นั่นหลังจากที่เราไปดื่มกันมาแล้วพอวันรุ่งขึ้นเราก็
รีบตื่นและรีบเผ่นเพราะว่ามีนักเรียนเข้ามาใช้ห้องเรียนครับ”
“ถึงแม้คุณจะมีอาชีพที่พิเศษกว่าคนอื่นเค้าแต่กลับอยากใช้ชีวิตธรรมด๊าธรรมดานะคะ”
“ผม
รู้สึกว่าผมก็ยังเป็นเหมือนเมื่อก่อนนะเหมือนกับเวลาที่ผมเจอเพื่อนที่เรียน
มหาวิทยาลัยด้วยกัน
ถึงแม้ว่าละครที่ผมเล่นได้ออกอากาศแล้วก็ตามตารางงานที่แน่นมากทำให้ผมไม่
สามารถจะเจอพวกเขาได้ แต่ผมก็ยังเป็นผมวันยังค่ำถึงเพื่อของผม
ผมก็ยังเป็นผู้ชายอายุ 20
ปีคนเดิมถ้าผมได้เจอเพื่อนอีกครั้งหลังจากที่ไม่ได้เจอกันมานาน
ผมเชื่อว่าผมก็ยังปฏิบัติกับเขาเหมือนเมื่อครั้งที่ผมอายุ20 นะครับ
(ยังไงก็เหมือนเดิมสินะ)
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น